การแจ้งคำสั่งทางปกครองทางเว็บไซต์ (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1722/2566)
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ค.ศ. 3 วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนภูเวียงวิทยาคม อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น
เมื่อปี พ.ศ. 2559 ผู้ฟ้องคดีได้เสนอผลงานเพื่อขอรับการประเมินเพื่อเลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ รวม 4 รายการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ว 13 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2556 และหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ลับ ที่ ศธ 0206.3/ว 1 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559
ต่อมาเลขาธิการ ก.ค.ศ. ได้มีหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ลับ ที่ ศธ 0206.3/0681 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2562 แจ้งมติของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน เนื่องจากมีรางวัลและผลงานไม่ครบ 3 รายการตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีกำหนด กล่าวคือ ผลงานเทียบเคียงของผู้ฟ้องคดี จำนวน 2 รายการ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด
ต่อมาสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้มีหนังสือที่ ศธ 0206.3/0174 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 แจ้งปลัดกระทรวงศึกษาธิการและเลขาธิการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้แจ้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าผู้ถูกฟ้องคดีมีมติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินประจำปี 2559 หากมีความประสงค์จะขอทบทวนมติของผู้ถูกฟ้องคดี ให้ยื่นคำขอทบทวนได้
สำหรับระยะเวลาการฟ้องคดี ขอให้เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน เพื่อเลื่อนวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นคดีพิพาทตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 นั้น จะต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วันนับแต่วันที่รู้หรือคนรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวแล้วเห็นว่า สิทธิในการฟ้องคดีปกครอง ย่อมเกิดขึ้นนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี สำหรับการรับรู้โดยวิธีใดนั้น มิได้มีบทบัญญัติกำหนดไว้ ดังนั้น ไม่ว่าผู้ฟ้องคดีจะได้รู้หรือคนรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีโดยวิธีใดก็ตาม สิทธิในการฟ้องคดีย่อมเกิดขึ้นแล้วตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
ส่วนการที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ลับ ที่ ศธ 0206.3/563 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 แจ้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้แจ้งมติของผู้ถูกฟ้องคดี (กรณีทบทวน) พร้อมทั้งแจ้งสิทธิการฟ้องคดีให้ผู้ฟ้องคดีทราบ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มีหนังสือ ลับ ที่ ศธ 04009/708 ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2565 แจ้งผลการพิจารณาทบทวนของผู้ถูกฟ้องคดี และสิทธิการฟ้องคดีดังกล่าว ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่นทราบว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีมติให้ผู้ฟ้องคดี เป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติขอรับการประเมินวิทยฐานะเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งระบุข้อความว่า หากผู้ยื่นคำขอทบทวน ประสงค์จะฟ้องเป็นคดีปกครอง สามารถยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ขอทบทวนได้รับแจ้งมติ ก.ค.ศ. ไว้ โดยได้แจ้งสิทธิการฟ้องคดี ให้ผู้ฟ้องคดีทราบภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคดีนี้ และศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำสั่ง รับคำฟ้องไว้พิจารณา รวมทั้งผู้ถูกฟ้องคดีได้ยื่นคำให้การต่อศาลปกครองชั้นต้นแล้วนั้น เห็นว่า หนังสือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดังกล่าว เป็นเพียงหนังสือยืนยันคำสั่งทางปกครอง ตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งแจ้งสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเท่านั้น หาได้มีผลให้สิทธิการฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีที่เกิดขึ้นก่อนแล้ว ต้องเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งทางปกครองตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวแต่อย่างใด อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2559 ผู้ฟ้องคดีได้เสนอผลงานเพื่อขอรับการประเมินเพื่อเลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ รวม 4 รายการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ว 13 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2556 และหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ลับ ที่ ศธ 0206.3/ว 1 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559
ต่อมาเลขาธิการ ก.ค.ศ. ได้มีหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ลับ ที่ ศธ 0206.3/0681 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2562 แจ้งมติของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน เนื่องจากมีรางวัลและผลงานไม่ครบ 3 รายการตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีกำหนด กล่าวคือ ผลงานเทียบเคียงของผู้ฟ้องคดี จำนวน 2 รายการ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด
ต่อมาสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้มีหนังสือที่ ศธ 0206.3/0174 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 แจ้งปลัดกระทรวงศึกษาธิการและเลขาธิการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้แจ้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ว่าผู้ถูกฟ้องคดีมีมติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินประจำปี 2559 หากมีความประสงค์จะขอทบทวนมติของผู้ถูกฟ้องคดี ให้ยื่นคำขอทบทวนได้
ผู้ฟ้องคดีจึงแจ้งความประสงค์ผ่านผู้อำนวยการโรงเรียนภูเวียงวิทยาคม ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาทบทวนคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีตามหนังสือโรงเรียนภูเวียงวิทยาคม ที่ ศธ 04255.060/204 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
จากนั้นผู้ถูกฟ้องคดีโดย อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเฉพาะกิจพิจารณาคุณสมบัติของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้ถูกฟ้องคดีกำหนดตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ 0206.3/ว 13 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2556 ในการประชุมครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 พิจารณาทบทวนแล้วมีมติว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าว และเลขาธิการ ก.ค.ศ. ได้ออกประกาศสำนักงาน ก.ค.ศ. เรื่อง ผลการพิจารณาคุณสมบัติของข้าราชการครูและบุลคากรทางการศึกษาผู้ขอมีวิทยาฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยาฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยาฐานะเชี่ยวชาญ (กรณีทบทวน) ลงวันที่ 30 มีนาคม 2565 โดยไม่ปรากฏรายชื่อผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่ามติของผู้ถูกฟ้องคดีตามประกาศสำนักงาน ก.ค.ศ. ลงวันที่ 30 มีนาคม 2565 ที่พิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติขอรับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยาฐานะเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว กรณีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
โดยที่มติของผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งแจ้งตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ลับ ที่ ศธ 0206.3/0681 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2562 ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ซึ่งมีผลเป็นการตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีในการขอรับการประเมิน อันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี จะเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิฟ้องคดีโต้แย้งคำสั่งได้
โดยที่มติของผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งแจ้งตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ลับ ที่ ศธ 0206.3/0681 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2562 ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ซึ่งมีผลเป็นการตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีในการขอรับการประเมิน อันเป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี จะเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิฟ้องคดีโต้แย้งคำสั่งได้
แต่เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีได้มีมติแจ้งตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/0174 ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน ประจำปี 2559 หากมีความประสงค์จะขอทบทวนมติของผู้ถูกฟ้องคดี ให้ยื่นคำขอทบทวนได้ จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีประสงค์ให้มีการพิจารณาทางปกครองขึ้นใหม่สำหรับผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน ประจำปี 2559 ผู้ฟ้องคดียื่นคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีพิจารณาทบทวนคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นกรณีให้เจ้าหน้าที่มีคำสั่งทางปกครองอย่างหนึ่ง และเมื่อผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งหรือมติอย่างหนึ่งอย่างใดที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยื่นคำขอทบทวนคุณสมบัติเข้ารับการประเมินนั้น ไม่ว่าจะในชั้นตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นหรือในชั้นการประเมินก็ตาม ย่อมเข้าลักษณะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะเปลี่ยนแปลง ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล จึงถือว่ามติของผู้ถูกฟ้องคดีที่พิจารณาทบทวนแล้วให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติขอรับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะเป็นวิทยฐานะเชี่ยบชาญ เป็นคำสั่งทางปกครองที่เกิดขึ้นใหม่ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ส่วนกรณีปัญหาว่าผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งทางปกครองเมื่อใดนั้น มาตรา 68 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 บัญญัติว่า ในกรณีคำสั่งทางปกครองที่แสดงให้ทราบโดยการสื่อความหมายในรูปแบบอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ให้มีผลเมื่อได้แจ้ง ประกอบกับกฎกระทรวง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2539 ออกตามความในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กำหนดให้คำสั่งทางปกครองที่แสดงให้ทราบโดยทางเสียง แสงหรือสัญญาณที่สามารถทำให้รับรู้ถึงคำสั่งทางปกครองนั้นได้ทันที เป็นคำสั่งทางปกครองที่มีผลเมื่อได้แจ้ง จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า การแจ้งคำสั่งทางปกครองไม่จำต้องแจ้งด้วยการมีหนังสือ แต่อาจแจ้งโดยวิธีการอื่นได้
ส่วนกรณีปัญหาว่าผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งทางปกครองเมื่อใดนั้น มาตรา 68 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 บัญญัติว่า ในกรณีคำสั่งทางปกครองที่แสดงให้ทราบโดยการสื่อความหมายในรูปแบบอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ให้มีผลเมื่อได้แจ้ง ประกอบกับกฎกระทรวง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2539 ออกตามความในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กำหนดให้คำสั่งทางปกครองที่แสดงให้ทราบโดยทางเสียง แสงหรือสัญญาณที่สามารถทำให้รับรู้ถึงคำสั่งทางปกครองนั้นได้ทันที เป็นคำสั่งทางปกครองที่มีผลเมื่อได้แจ้ง จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า การแจ้งคำสั่งทางปกครองไม่จำต้องแจ้งด้วยการมีหนังสือ แต่อาจแจ้งโดยวิธีการอื่นได้
เมื่อปรากฏว่า หลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ว 13 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2556 กำหนดให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ประกาศรายชื่อพร้อมทั้งข้อมูลเบื้องต้นและผลงานดีเด่น ที่ประสพผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ของผู้ได้รับการคัดเลือก (ผู้มีคุณสมบัติ) ให้ทราบโดยทั่วกัน โดยการประกาศทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ค.ศ. www.otepc.go.th และเปิดโอกาสให้มีการคัดค้านผู้ได้รับการคัดเลือกต่อสำนักงาน ก.ค.ศ. เป็นลายลักษณ์อักษร หรือทางเว็บไซต์ตามแบบที่ผู้ถูกฟ้องคดีกำหนด ภายในระยะเวลา 15 วันนับแต่วันที่ประกาศรายชื่อดังกล่าว
ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีมติตามประกาศสำนักงาน ก.ค.ศ. เรื่อง ผลการพิจารณาคุณสมบัติของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ (กรณีทบทวน) ลงวันที่ 30 มีนาคม 2565 แจ้งทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ค.ศ. www.otepc.go.th โดยไม่ปรากฏรายชื่อของผู้ฟ้องคดี ให้เป็นผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ (กรณีทบทวน) จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีได้รู้ผลการพิจารณาทบทวนมติของผู้ถูกฟ้องคดีโดยทางอินเตอร์เน็ตแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรืออาจจะเดือดร้อนเสียหายจากคำสั่งทางปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และคำขอของผู้ฟ้องคดีที่ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอน ประกาศสำนักงาน ก.ค.ศ. เรื่อง ผลการพิจารณาคุณสมบัติของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ (กรณีทบทวน) ลงวันที่ 30 มีนาคม 2565 เฉพาะส่วนที่ไม่ประกาศรายชื่อของผู้ฟ้องคดี เป็นคำขอที่ศาลกำหนดคำบังคับให้ได้ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน และเมื่อมติของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยคณะกรรมการ ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้โดยตรง โดยไม่จำต้องยื่นอุทธรณ์ก่อนนำคดีมาฟ้องต่อศาล ตามมาตรา 87 ประกอบมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
สำหรับระยะเวลาการฟ้องคดี ขอให้เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมิน เพื่อเลื่อนวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นคดีพิพาทตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 นั้น จะต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วันนับแต่วันที่รู้หรือคนรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวแล้วเห็นว่า สิทธิในการฟ้องคดีปกครอง ย่อมเกิดขึ้นนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี สำหรับการรับรู้โดยวิธีใดนั้น มิได้มีบทบัญญัติกำหนดไว้ ดังนั้น ไม่ว่าผู้ฟ้องคดีจะได้รู้หรือคนรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีโดยวิธีใดก็ตาม สิทธิในการฟ้องคดีย่อมเกิดขึ้นแล้วตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มติของผู้ถูกฟ้องคดีตามประกาศสำนักงาน ก.ค.ศ. เรื่อง ผลการพิจารณาคุณสมบัติของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ (กรณีทบทวน) ลงวันที่ 30 มีนาคม 2565 กำหนดให้มีการแจ้งทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ค.ศ. www.otepc.go.th โดยมีมติเห็นชอบให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินเพื่อเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ เพิ่มเติม รวมทั้งสิ้นจำนวน 132 ราย และไม่เห็นชอบให้เป็นผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,673 ราย รวมถึงผู้ฟ้องคดี กรณีจึงถือว่าวันที่ 30 มีนาคม 2565 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศผลการพิจารณาผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินทางเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ค.ศ. เป็นวันที่ผู้ฟ้องคดีรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจะต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี กล่าวคือภายในวันที่ 28 มิถุนายน 2565 การที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2561 จึงเป็นการฟ้องคดีภายในระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว
ส่วนการที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้มีหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ลับ ที่ ศธ 0206.3/563 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 แจ้งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้แจ้งมติของผู้ถูกฟ้องคดี (กรณีทบทวน) พร้อมทั้งแจ้งสิทธิการฟ้องคดีให้ผู้ฟ้องคดีทราบ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มีหนังสือ ลับ ที่ ศธ 04009/708 ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2565 แจ้งผลการพิจารณาทบทวนของผู้ถูกฟ้องคดี และสิทธิการฟ้องคดีดังกล่าว ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่นทราบว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีมติให้ผู้ฟ้องคดี เป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติขอรับการประเมินวิทยฐานะเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งระบุข้อความว่า หากผู้ยื่นคำขอทบทวน ประสงค์จะฟ้องเป็นคดีปกครอง สามารถยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ขอทบทวนได้รับแจ้งมติ ก.ค.ศ. ไว้ โดยได้แจ้งสิทธิการฟ้องคดี ให้ผู้ฟ้องคดีทราบภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคดีนี้ และศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำสั่ง รับคำฟ้องไว้พิจารณา รวมทั้งผู้ถูกฟ้องคดีได้ยื่นคำให้การต่อศาลปกครองชั้นต้นแล้วนั้น เห็นว่า หนังสือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดังกล่าว เป็นเพียงหนังสือยืนยันคำสั่งทางปกครอง ตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งแจ้งสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเท่านั้น หาได้มีผลให้สิทธิการฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีที่เกิดขึ้นก่อนแล้ว ต้องเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคำสั่งทางปกครองตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวแต่อย่างใด อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีฟังขึ้น
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้นศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณา
ที่มา คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1722/2566
ที่มา คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1722/2566
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น