การมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่ต้องระบุว่าให้ฟ้องที่ศาลไหน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2535)
จำเลยยื่นฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ระบุว่าให้ฟ้องที่ศาลไหน และตัวโจทก์ไม่ได้มาเบิกความยืนยันด้วยตนเอง
ศาลฎีกาเห็นว่า การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่จำต้องระบุว่าให้ฟ้องที่ศาลไหน เพราะการจะฟ้องคดีที่ไหนนั้น ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
การที่ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ อาศัยหนังสือมอบอำนาจ ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่ง ซึ่งเป็นศาลที่ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตอำนาจนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ตัวโจทก์ไม่ได้มาเบิกความยืนยันว่าได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้รับมอบอำนาจ ศาลไม่ควรเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง เพราะคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ และได้ความตามคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ว่า จำเลยเช่าที่ดินโจทก์เดือนละ 70 บาท ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่มา
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2535 , ระบบสืบค้นคำพิพากษา คำสั่งคำร้องและคำวินิจฉัยศาลฎีกา
- ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 47 บัญญัติว่า "ถ้าคู่ความหรือบุคคลใดยื่นใบมอบอำนาจต่อศาล ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้คู่ความหรือบุคคลนั้น ให้ถ้อยคำสาบานตัวว่าเป็นใบมอบอำนาจอันแท้จริง
ถ้าศาลมีเหตุอันควรสงสัยว่า ใบมอบอำนาจที่ยื่นนั้นจะไม่ใช่ใบมอบอำนาจอันแท้จริงก็ดี หรือเมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่าใบมอบอำนาจนั้นจะมิใช่ใบมอบอำนาจอันแท้จริงก็ดี ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้คู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นยื่นใบมอบอำนาจตามที่บัญญัติไว้ต่อไปนี้
ถ้าใบมอบอำนาจนั้นได้ทำในราชอาณาจักรสยามต้องให้นายอำเภอเป็นพยาน ถ้าได้ทำในเมืองต่างประเทศที่มีกงสุลสยาม ต้องให้กงสุลนั้นเป็นพยาน ถ้าได้ทำในเมืองต่างประเทศที่ไม่มีกงสุลสยาม ต้องให้บุคคลเหล่านี้เป็นพยานคือเจ้าพนักงานโนตารีปับลิกหรือแมยิสเตร็ด หรือบุคคลอื่นซึ่งกฎหมายแห่งท้องถิ่นตั้งให้เป็นผู้มีอำนาจเป็นพยานในเอกสารเช่นว่านี้ และต้องมีใบสำคัญของรัฐบาลต่างประเทศที่เกี่ยวข้องแสดงว่าบุคคลที่เป็นพยานนั้นเป็นผู้มีอำนาจกระทำการได้
บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ให้ใช้บังคับแก่ใบสำคัญและเอกสารอื่น ๆ ทำนองเช่นว่ามานี้ ซึ่งคู่ความจะต้องยื่นต่อศาล"
ศาลฎีกาเห็นว่า การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่จำต้องระบุว่าให้ฟ้องที่ศาลไหน เพราะการจะฟ้องคดีที่ไหนนั้น ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
การที่ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ อาศัยหนังสือมอบอำนาจ ฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่ง ซึ่งเป็นศาลที่ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตอำนาจนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ตัวโจทก์ไม่ได้มาเบิกความยืนยันว่าได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้รับมอบอำนาจ ศาลไม่ควรเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง เพราะคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ และได้ความตามคำเบิกความของผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ว่า จำเลยเช่าที่ดินโจทก์เดือนละ 70 บาท ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ที่มา
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2535 , ระบบสืบค้นคำพิพากษา คำสั่งคำร้องและคำวินิจฉัยศาลฎีกา
- ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 47 บัญญัติว่า "ถ้าคู่ความหรือบุคคลใดยื่นใบมอบอำนาจต่อศาล ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้คู่ความหรือบุคคลนั้น ให้ถ้อยคำสาบานตัวว่าเป็นใบมอบอำนาจอันแท้จริง
ถ้าศาลมีเหตุอันควรสงสัยว่า ใบมอบอำนาจที่ยื่นนั้นจะไม่ใช่ใบมอบอำนาจอันแท้จริงก็ดี หรือเมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่าใบมอบอำนาจนั้นจะมิใช่ใบมอบอำนาจอันแท้จริงก็ดี ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้คู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นยื่นใบมอบอำนาจตามที่บัญญัติไว้ต่อไปนี้
ถ้าใบมอบอำนาจนั้นได้ทำในราชอาณาจักรสยามต้องให้นายอำเภอเป็นพยาน ถ้าได้ทำในเมืองต่างประเทศที่มีกงสุลสยาม ต้องให้กงสุลนั้นเป็นพยาน ถ้าได้ทำในเมืองต่างประเทศที่ไม่มีกงสุลสยาม ต้องให้บุคคลเหล่านี้เป็นพยานคือเจ้าพนักงานโนตารีปับลิกหรือแมยิสเตร็ด หรือบุคคลอื่นซึ่งกฎหมายแห่งท้องถิ่นตั้งให้เป็นผู้มีอำนาจเป็นพยานในเอกสารเช่นว่านี้ และต้องมีใบสำคัญของรัฐบาลต่างประเทศที่เกี่ยวข้องแสดงว่าบุคคลที่เป็นพยานนั้นเป็นผู้มีอำนาจกระทำการได้
บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ให้ใช้บังคับแก่ใบสำคัญและเอกสารอื่น ๆ ทำนองเช่นว่ามานี้ ซึ่งคู่ความจะต้องยื่นต่อศาล"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น