ไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ นับอายุความตามมูลหนี้เดิม (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2564)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 นำหนี้ตามสัญญากู้เงินมาทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยกำหนดเงื่อนไขการผ่อนชำระและระยะเวลาการชำระหนี้ใหม่เท่านั้น ไม่มีข้อความใดแสดงเจตนาให้หนี้เดิมระงับสิ้นไป แล้วมาบังคับกันใหม่ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้แต่อย่างใด เมื่อไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ การนับอายุความต้องถือตามมูลหนี้เดิมแต่ละมูลหนี้
เมื่อหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ยืมเงินมีเงื่อนไขให้ผ่อนชำระเงินกู้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือน จึงเป็นหนี้เงินที่ต้องผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ มีอายุความ 5 ปี
และจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ซึ่งครบอายุความ 5 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2556 โจทก์ฟ้องวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เกินกว่า 5 ปี หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินขาดอายุความแล้ว
ส่วนหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมีอายุความ 10 ปี จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) โจทก์ฟ้องวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 ยังไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันดังกล่าว หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ขาดอายุความ
ที่มา
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1062/2564, เนติบัณฑิตยสภา คำพิพากษาฎีกา ประจำพุทธศักราช 2564 ตอนที่ 12 หน้า 3117 - 3135
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง
มาตรา 193/33 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความห้าปี
(1) ดอกเบี้ยค้างชำระ
(2) เงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ
(3) ค่าเช่าทรัพย์สินค้างชำระ เว้นแต่ค่าเช่าสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 193/34 (6)
(4) เงินค้างจ่าย คือ เงินเดือน เงินปี เงินบำนาญ ค่าอุปการะเลี้ยงดูและเงินอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกับที่มีการกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา
(5) สิทธิเรียกร้องตามมาตรา 193/34 (1) (2) และ (5) ที่ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี
เมื่อหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ยืมเงินมีเงื่อนไขให้ผ่อนชำระเงินกู้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือน จึงเป็นหนี้เงินที่ต้องผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ มีอายุความ 5 ปี
และจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ซึ่งครบอายุความ 5 ปี ในวันที่ 1 เมษายน 2556 โจทก์ฟ้องวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 เกินกว่า 5 ปี หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินขาดอายุความแล้ว
ส่วนหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมีอายุความ 10 ปี จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) โจทก์ฟ้องวันที่ 28 พฤษภาคม 2558 ยังไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันดังกล่าว หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ขาดอายุความ
ที่มา
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1062/2564, เนติบัณฑิตยสภา คำพิพากษาฎีกา ประจำพุทธศักราช 2564 ตอนที่ 12 หน้า 3117 - 3135
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้
(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง
(2) เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้
(3) เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
(4) เจ้าหนี้ได้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา
(5) เจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี
(3) เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
(4) เจ้าหนี้ได้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา
(5) เจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดี
มาตรา 193/33 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความห้าปี
(1) ดอกเบี้ยค้างชำระ
(2) เงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวด ๆ
(3) ค่าเช่าทรัพย์สินค้างชำระ เว้นแต่ค่าเช่าสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 193/34 (6)
(4) เงินค้างจ่าย คือ เงินเดือน เงินปี เงินบำนาญ ค่าอุปการะเลี้ยงดูและเงินอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกับที่มีการกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา
(5) สิทธิเรียกร้องตามมาตรา 193/34 (1) (2) และ (5) ที่ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น