ฟ้องซ้อนในคดีปกครอง (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 265/2565)
คดีนี้ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องอธิบดีกรมบังคับคดีต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1321/2564 ขอให้ลงโทษทางวินัยเจ้าพนักงานบังคับคดี กรณีปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับคดีแพ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย ต่อมาศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินการลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นอำนาจดุลพินิจในการบริหารงานบุคคลของฝ่ายปกครอง การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างไร ก็ไม่มีผลโดยตรงที่จะเยียวยาหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นคำขอที่ศาลปกครองไม่อาจกำหนดคำบังคับให้ได้ ผู้ฟ้องคดีจึงไม่เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง คำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ผู้ฟ้องคดีจึงยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลางดังกล่าว
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ข้อ 76 (1) กำหนดว่าเมื่อได้มีการยื่นคำฟ้องในเรื่องใดต่อศาลแล้ว เวลาตั้งแต่ที่มีการยื่นคำฟ้องต่อศาล จนถึงเวลาที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา หรือเวลาที่ได้มีการอ่านผลแห่งคำพิพากษา หรือจนถึงเวลาที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเกี่ยวกับคำอุทธรณ์ หรือเวลาที่ได้มีการอ่านผลแห่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด กรณีจะถือว่าคดีในเรื่องนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา ห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีฟ้องคดีในเรื่องนั้นต่อศาลที่รับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือต่อศาลอื่น
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีเคยฟ้องอธิบดีกรมบังคับคดีเป็นผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1248/2564 โดยฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ดำเนินการลงโทษทางวินัยเจ้าพนักงานบังคับคดี กรณีปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับคดีแพ่งของศาลแพ่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีลงโทษเจ้าพนักงานบังคับคดี และชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี
คำฟ้องคดีนี้จึงมีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา รวมทั้งคำขอบังคับมีลักษณะเดียวกัน และเมื่อยื่นคำฟ้องคดีนี้ในระหว่างการพิจารณาของคดีหมายเลขดำที่ 1248/2564 จึงเป็นการฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามข้อ 76 (1) แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ กับให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ฟ้องคดี ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยในผล จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
ที่มา คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 265/2565
ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ข้อ 76 (1) กำหนดว่าเมื่อได้มีการยื่นคำฟ้องในเรื่องใดต่อศาลแล้ว เวลาตั้งแต่ที่มีการยื่นคำฟ้องต่อศาล จนถึงเวลาที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณา หรือเวลาที่ได้มีการอ่านผลแห่งคำพิพากษา หรือจนถึงเวลาที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเกี่ยวกับคำอุทธรณ์ หรือเวลาที่ได้มีการอ่านผลแห่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด กรณีจะถือว่าคดีในเรื่องนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา ห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีฟ้องคดีในเรื่องนั้นต่อศาลที่รับคำฟ้องไว้พิจารณาหรือต่อศาลอื่น
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีเคยฟ้องอธิบดีกรมบังคับคดีเป็นผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1248/2564 โดยฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ดำเนินการลงโทษทางวินัยเจ้าพนักงานบังคับคดี กรณีปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับคดีแพ่งของศาลแพ่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีลงโทษเจ้าพนักงานบังคับคดี และชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี
คำฟ้องคดีนี้จึงมีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา รวมทั้งคำขอบังคับมีลักษณะเดียวกัน และเมื่อยื่นคำฟ้องคดีนี้ในระหว่างการพิจารณาของคดีหมายเลขดำที่ 1248/2564 จึงเป็นการฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามข้อ 76 (1) แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ กับให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ฟ้องคดี ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยในผล จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น
ที่มา คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 265/2565
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น